ติดต่อสอบถาม โทร.1491 หรือ 02-908-8888
Advice IT Infinite Public Company Limited

ประวัติองค์กร

  1. 2565

    เพิ่มทุนจดทะเบียนจํานวน 150,000,000 บาท จากเดิม 150,000,000 บาท เป็น 300,000,000 บาท โดยออก หุ้นสามัญเพิ่มทุนจํานวน 1,500,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 100 บาท เสนอขายต่อผู้ถือหุ้นเดิมตาม สัดส่วนการถือหุ้น โดยเรียกชําระค่าหุ้นที่ร้อยละ 50 คิดเป็นเงินรวมทั้งสิ้น 75,000,000 บาท เพื่อใช้เป็น เงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินกิจการ

    ลดทุนจดทะเบียนจํานวน 75,000,000 บาท จาก 300,000,000 บาท เป็น 225,000,000 บาท โดยการลด มูลค่าหุ้น จากเดิมหุ้นละ 100 บาท เป็น 75 บาท ภายหลังการจดทะเบียนลดทุน บริษัทฯ มีทุนจดทะเบียน จํานวน 225,000,000 บาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจํานวน 3,000,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 75 บาท และให้ถือว่าผู้ถือหุ้นได้ชําระค่าหุ้นเต็มจํานวนแล้ว

    แปรสภาพจากบริษัทจํากัดเป็นบริษัทมหาชนจํากัด และเปลี่ยนแปลงมูลค่าที่ตราไว้ของหุ้นจากหุ้นละ 75 บาท เป็นหุ้นละ 0.50 บาท พร้อมกับเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทฯ จํานวน 85,000,000 บาท แบ่งออกเป็น หุ้นสามัญเพิ่มทุนจํานวน 170,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท จากทุนจดทะเบียนเต็มจํานวน 225,000,000 บาท เป็นทุนจดทะเบียนใหม่จํานวน 310,000,000 บาท เพื่อรองรับการออกและเสนอขายหุ้น สามัญต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO)

    ปรับโครงสร้างการถือหุ้น โดยผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ทั้งหมด 8 รายขายหุ้นที่ถืออยู่บางส่วนรวมจํานวน 160,000,000 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 35.56 ให้แก่บริษัท ไทย จอยเวนเจอร์ กรุ๊ปส์ จํากัด (TJV) ซึ่งเป็นนิติบุคคลที่มีผู้ถือหุ้นกลุ่มเดียวกันและในสัดส่วนเดียวกันกับบริษัทฯ ส่งผลให้ TJV มีสถานะเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นราย ใหญ่ของบริษัทฯ ในสัดส่วนร้อยละ 35.56 ของหุ้นที่ออกและจําหน่ายแล้วทั้งหมด โดยส่วนได้เสียของผู้ถือหุ้น ทุกรายในบริษัทฯ หลังการปรับโครงสร้างการถือหุ้นดังกล่าวไม่เปลี่ยนแปลงจากเดิม

    นายณัฏฐ์ฯ ได้เจรจาขอซื้อหุ้นจากนายปรีชา สินยาภา ซึ่ง ณ ขณะนั้นถือหุ้นทางตรงและทางอ้อมในบริษัทฯ ใน สัดส่วนร้อยละ 31.67 โดยนายปรีชาฯ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นที่ไม่ได้มีส่วนร่วมในการบริหาร ตกลงที่จะลดสัดส่วนการถือหุ้น โดยการขายหุ้นจํานวน 70,000,000 หุ้น ในราคาหุ้นละ 5.50 บาท (เทียบเท่ากับมูลค่ายุติธรรมของหุ้น ณ ขณะนั้น) ให้แก่นายณัฏฐ์ฯ ส่งผลให้นายณัฏฐ์ฯ มีสัดส่วนการถือหุ้นทางตรงและทางอ้อมในบริษัทฯ เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 48.76 ขณะที่นายปรีชาฯ มีสัดส่วนการถือหุ้นทางตรงและทางอ้อมในบริษัทฯ ลดลงเป็นร้อยละ 16.11

    นายอมร ทาทอง (กรรมการและกรรมการบริหาร) ถือหุ้นทางตรงและทางอ้อมในบริษัทฯ ในสัดส่วนร้อยละ 33.20 ลดสัดส่วนการถือหุ้นโดยการขายหุ้น จํานวน 25,000,000 หุ้น ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมรายอื่นๆ ซึ่งเป็นผู้บริหารจํานวน 5 รายรายละ 5,000,000 หุ้น รวม 25,000,000 หุ้นในราคาหุ้น ละ 5.50 บาท เพื่อให้ผู้บริหารทั้ง 5 รายมีส่วนร่วมในการเป็นเจ้าของบริษัทฯ มากขึ้น ส่งผลให้นายอมรฯ มีสัดส่วนการถือหุ้นทางตรงและทางอ้อมในบริษัทฯ ลดลงเหลือร้อยละ 27.64 ขณะที่ผู้บริหาร 5 ราย แต่ละรายมีสัดส่วนการถือหุ้นทางตรงและทางอ้อมในบริษัทฯ ระหว่างร้อยละ 1.41 – 1.71

  2. 2564

    ยอดขายสินค้าเติบโตกว่าร้อยละ 14.1 จากปีก่อน ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ระลอกที่ 2 และระลอกที่ 3

    ซื้อที่ดิน อาคารสํานักงาน และอาคารคลังสินค้า ซึ่งเป็นที่ตั้งสํานักงานใหญ่จาก AVH แทนการเช่า มูลค่าการ ซื้อขายรวม 264.1 ล้านบาท อ้างอิงราคาประเมินโดยผู้ประเมินทรัพย์สินอิสระที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงาน ก.ล.ต.

    ผู้บริหารทั้ง 5 รายชำระเงินค่าหุ้นสามัญให้แก่กลุ่มผู้ก่อตั้ง และเข้าเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ

    ยอดขายสินค้าเติบโตกว่าร้อยละ 14.1 จากปีก่อน ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ระลอกที่ 2 และระลอกที่ 3

  3. 2563

    เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 บริษัทฯ จึงมีนโยบายปิดสาขารวมทั้งสิ้น 9 สาขา ซึ่ง โดยส่วนใหญ่เป็นสาขาที่ตั้งอยู่ในศูนย์การค้าไอที เนื่องจากผลกระทบจาก COVID-19 และพฤติกรรม ผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปเลือกซื้อสินค้าในห้างสรรพสินค้ามากขึ้น เนื่องจากมีร้านอาหารและร้านค้าหลายประเภท

    จําหน่ายสินค้าและบริการผ่านช่องทางโซเชียลคอมเมิร์ซ เช่น Line และ Facebook เป็นต้น

    ผู้ก่อตั้ง 3 ราย ให้สิทธิในการซื้อหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 1.93 แก่ผู้บริหารจำนวน 5 รายที่เป็นผู้บริหารที่ร่วมงานกับบริษัทฯ มาตั้งแต่สมัยที่บริษัทฯ รวบรวมเครือข่ายร้านค้าปลีก-ค้าส่งสินค้าไอทีในปี 2552 และยังคงร่วมงานกับบริษัทฯ อยู่จนถึงปัจจุบัน โดยผู้บริหารทั้ง 5 รายมีสิทธิซื้อหุ้นในราคาหุ้นละ 750 บาท ซึ่งไม่ต่ำกว่ามูลค่ายุติธรรมที่ประเมินโดยที่ปรึกษาทางการเงินจากภายนอก โดยมีเงื่อนไขว่าผู้บริหารที่มีสิทธิซื้อหุ้นจะต้องทำงานอยู่กับบริษัทฯ จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2563 โดยการจัดสรรหุ้นให้ผู้บริหารแต่ละรายพิจารณา จากความสามารถและภาระความรับผิดชอบในสายงานในอดีตจนถึงวันที่จัดสรรหุ้น

  4. 2562

    เริ่มวางจําหน่ายสินค้ากลุ่มคอมพิวเตอร์ประกอบ (DIY) ใน "พาวเวอร์บาย" ภายใต้ชื่อโซน Power Buy D.I.Y. by Advice

  5. 2561

    เริ่มดําเนินธุรกิจจําหน่ายสินค้าไอทีภายใต้ ADVICE แบบเต็มปี

    เพิ่มช่องทางการจําหน่ายสินค้าแบบออนไลน์ โดยเริ่มวางจําหน่ายสินค้าในแพลตฟอร์ม ขายของออนไลน์ ต่างๆ เช่น Shopee และ Lazada

  6. 2560

    สิงหาคม : จัดตั้งบริษัทย่อย ชื่อ บริษัท ยูนิตี้ ไอที ซิสเต็ม จํากัด (UNS) โดยมีบริษัทฯ เป็นผู้ถือหุ้นในสัดส่วน ร้อยละ 100 และเพิ่มทุนชําระแล้วจํานวน 49,000,000 บาท จากเดิม 1,000,000 บาท เป็น 50,000,000 บาท โดยออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจํานวน 490,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 100 บาท เพื่อรองรับการปรับโครงสร้างกลุ่มธุรกิจ

    ตุลาคม : ปรับโครงสร้างกลุ่มธุรกิจครั้งสําคัญ โดย AVH โอนย้ายธุรกิจจําหน่ายสินค้าไอทีให้แก่ ADVICE และบริษัทย่อย (UNS) โดย ADVICE รับโอนสินทรัพย์หลัก ซึ่งได้แก่ สินค้าคงเหลือ เครือข่ายสาขา และ พนักงานในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และภาคตะวันออก ส่วน UNS รับโอนสินค้าคงเหลือ เครือข่ายสาขา และพนักงานในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตามลำดับ AVH คงเหลือ ทรัพย์สินหลัก ได้แก่ ที่ดิน อาคารสํานักงาน และอาคารคลังสินค้า ซึ่งให้ ADVICE เช่าภายใต้สัญญาเช่า ระยะยาว 3 ปี

    ธันวาคม : ADVICE เพิ่มทุนชําระแล้วจํานวน 100,000,000 บาท จากเดิม 50,000,000 บาท เป็น 150,000,000 บาท โดยออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจํานวน 1,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 100 บาท เสนอ ขายต่อผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น เพื่อรองรับการปรับโครงสร้างกลุ่มธุรกิจ

  7. 2559

    ขยายสาขาและเครือข่ายแฟรนไชส์อย่างต่อเนื่อง จน ณ สิ้นปี 2559 มีสาขารวมทั้งสิ้น 351 แห่ง ประกอบด้วย สาขาของบริษัทฯ จํานวน 109 แห่ง และสาขาแฟรนไชส์จํานวน 242 แห่ง

  8. 2556

    ขยายสาขาภายใต้ AVH อย่างต่อเนื่องทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด จนมีสาขาครอบคลุมทั่วทุก ภูมิภาคของประเทศไทย

    ขยายเครือข่ายแฟรนไชส์ไปยังสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว

  9. 2555

    AVH เพิ่มทุนจดทะเบียนและทุนชําระแล้วเป็น 150 ล้านบาท เพื่อรองรับการขยายธุรกิจ

    จดทะเบียนจัดตั้งบริษัท แอดไวซ์ ไอที อินฟินิท จํากัด (ADVICE) (เดิมชื่อ บริษัท แอดไวซ์ ไอที จํากัด และ ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท เฮด แดดดี้ (ประเทศไทย) จํากัด) ด้วยทุนชําระแล้วจํานวน 1 ล้านบาท โดยมี วัตถุประสงค์เริ่มแรกเพื่อจัดจําหน่ายสินค้าไอที่ผ่านช่องทางออนไลน์ www.headdaddy.com

    เปิดตัวธุรกิจแฟรนไชส์ Advice โดยเปิดโอกาสให้บุคคลท้องถิ่นเข้ามาเป็นเจ้าของร้าน “Advice” ในกลุ่ม อําเภอรองที่ยังไม่มีสาขาของบริษัทฯ ตั้งอยู่ โดยผู้ประกอบการดังกล่าวจะได้ใช้เครื่องหมายการค้า “Advice ได้รับโปรแกรมระบบจัดการธุรกิจ (Advice Software) ได้รับการประกันราคาและการสนับสนุนการส่งเสริม การขาย รวมถึงได้รับการฝึกอบรมความรู้ด้านสินค้าและบริการด้านอื่นๆ จากบริษัทฯ

  10. 2552

    จดทะเบียนจัดตั้งบริษัท แอดไวซ์ โฮลดิ้งส์ กรุ๊ป จํากัด (AVH) ด้วยทุนชําระแล้วเริ่มแรกจํานวน 5 ล้านบาท

    ขยายกิจการด้วยการรวบรวมเครือข่ายร้านค้าปลีก-ค้าส่งสินค้าไอทีให้เข้ามาดําเนินธุรกิจร่วมกันภายใต้ แบรนด์ "Advice"

    ขยายกิจการด้วยการรวบรวมเครือข่ายร้านค้าปลีก-ค้าส่งสินค้าไอทีให้เข้ามาดำเนินธุรกิจร่วมกันภายใต้แบรนด์ "Advice" โดยผู้บริหารของร้านค้าดังกล่าวบางราย ได้เข้ามาร่วมทำงานกับบริษัทฯ

  11. 2550

    เปิดสาขาแห่งแรกที่ศูนย์การค้าไอที เซียร์ รังสิต จังหวัดปทุมธานี

  12. 2543

    จดทะเบียนจัดตั้งบริษัท แอดไวซ์ คอมพิวเตอร์ จํากัด เพื่อประกอบธุรกิจค้าปลีก-ค้าส่งสินค้าไอที่ผ่าน ช่องทางหน้าร้านและออนไลน์ โดยเปลี่ยนมาใช้เว็บไซต์ www.advice.co.th

  13. 2539

    จดทะเบียนจัดตั้งบริษัท แอดไวซ์อินโฟ จํากัด และเริ่มต้นธุรกิจด้วยการขายสินค้าไอที่ผ่านช่องทางเว็บไซต์ เป็นรายแรกของประเทศไทยในชื่อเว็บไซต์ www.advice-info.com

สมัครรับข้อมูลข่าวสาร และโปรโมชั่น